วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แมงมุมที่อันตราย!

แมงมุมที่อันตราย

ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้ว แต่ข่าวเรื่องคุณอุทัย เวียงคำ หนุ่มเมืองแพร่ถูกแมงมุมกัดยังอยู่ในความสนใจของคนไทย เพราะแมงมุมตัวเล็กๆ ดูไม่น่าจะมีภัยร้ายแรงอะไร กลับทำให้ผู้เคราะห์ร้ายถูกพิษแมงมุมเล่นงานจนมีแผลเหวอะหวะ ลุกลามไปตามร่างกาย จนถึงขั้นเนื้อตาย ต้องตัดขาทิ้งเพื่อรักษาชีวิตไว้เลยทีเดียว

        สำหรับแมงมุมที่ถูกพูดถึงในเคสนี้ คือ แมงมุมพิษสีน้ำตาล ซึ่งเป็นคนละชนิดกับแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาล เพราะอาการของผู้ป่วยทีเกิดขึ้นอยู่คนละกลุ่มกับแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาล อย่างไรก็ตามแมงมุมทั้ง 2 ชนิดนี้ถือว่าเป็นแมงมุมชนิดมีพิษร้ายแรงทั้งคู่ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็เกิดอันตรายได้ วันนี้พี่มิ้นท์ก็เลยนำเกร็ดความรู้เรื่องแมงมุมมีพิษจากสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยมาฝาก ให้น้องๆ ทำความรู้จักและระมัดระวังตัวมากขึ้น เป็นไปได้ว่ามันอาจจะแอบซ่อนอยู่ในบ้านก็ได้
          แมงมุมมีพิษ มีอยู่ 3 ชนิด คือ แมงมุมแม่ม่ายดำ, แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล และแมงมุมพิษสีน้ำตาล มีลักษณะและพิษ ดังนี้

     
    1. แมงมุมแม่ม่ายดำ ตัวผู้กับตัวเมียจะมีลักษณะแตกต่างกันคือ ตัวเมีย จะมีความยาว 1-2 เซนติเมตร มีสีดำ ตัวกลม ท้องจะมีลายเป็นรูปนาฬิกาทรายสีแดง ส่วนแมงมุมแม่ม่ายดำตัวผู้ ตัวจะเล็กกว่าตัวเมียประมาณ 20 เท่า มีสีน้ำตาล และไม่มีลายนาฬิกาทรายที่ท้อง ด้วยความที่ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมียเยอะ มันจึงไม่สามารถกัดคนได้ ดังนั้นแมงมุมแม่ม่ายสีดำที่กัดมนุษย์ จึงเป็นตัวเมียเท่านั้น

แมงมุมแม่ม่ายดำตัวเมีย - แมงมุมแม่ม่ายดำตัวผู้

         พิษของแมงมุมแม่ม่ายสีดำ จะเป็นพิษที่มีผลต่อระบบประสาท โดยพิษจะทำให้เกิดช่องว่างบริเวณปลายเซลล์ประสาท ผลที่ตามมาคือ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งจนเป็นอัมพาต ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตมามักมาจากกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงาน ส่วนอาการที่เกิดขึ้นนั้น ระยะแรกอาจมีแค่ผื่นแดงๆ และรู้สึกปวดบริเวณที่ถูกกัด ต่อมาภายใน 30 นาที ผิวหนังรอบแผลที่ถูกกัดแดงขึ้น และเหงื่อออก พร้อมทั้งรู้สึกชาและปวดแผล นอกจากนี้อาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ ความดันสูง มือสั่น ชัก ในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดไตวายเฉียบพลัน จนถึงขั้นเสียชีวิตได้

         2. แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล จะมีขนาดเล็กกว่าแมงมุมแม่ม่ายดำเล็กน้อย ตัวกลม มีลายเป็นรูปนาฬิกาทรายสีส้มหรือเหลืองบริเวณหน้าท้อง พิษของแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลจะรุนแรงกว่าแมงมุมแม่ม่ายดำ 2 เท่า ถ้าเทียบพิษในปริมาณที่เท่ากัน แต่แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลจะปล่อยพิษในการกัดแต่ละครั้งน้อยมาก โดยพิษที่เกิดขึ้นก็เป็นพิษทางระบบประสาทเช่นกัน ทำให้เกิดอาการเกร็ง กระตุกในบริเวณที่โดนกัด อย่างไรก็ตามพิษจะไม่ทำให้เกิดภาวะเนื้อตายตรงบริเวณที่ถูกกัด นี่จึงเป็นเหตุผลว่าชนิดแมงมุมที่เป็นข่าวไม่ใช่แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล

         ปกติแล้วแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลไม่ก้าวร้าว ถ้าถูกรบกวนมากๆ จะวิ่งหนีเข้าซอกด้วยซ้ำ ดังนั้นแมงมุมชนิดนี้มีโอกาสกัดคนน้อยมาก ถ้าถูกกัดแสดงว่าไปจับหรือไปทับมันจนได้รับบาดเจ็บ มันจึงกัดเข้าให้ 

         3. แมงมุมพิษสีน้ำตาล เป็นแมงมุมที่อยู่ในข่าวนี้นั่นเอง แมงมุมชนิดนี้มีขนาดเล็กประมาณ 6-20 มิลลิเมตร มีสีน้ำตาลหรือเหลืองเข้ม มีลักษณะเด่นคือ ด้านหลังตรงช่วงศีรษะถึงอกของแมงมุมจะมีลายสีดำๆ คล้ายรูปไวโอลิน มีขาเรียวยาวเมื่อเทียบกับลำตัว แมงมุมชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่ในที่มืด ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า ตู้รองเท้า เตียงนอนก็สามารถพบเจอได้เหมือนกัน ดังนั้นเราอาจจะถูกกัดได้เพราะไปโดนมันแบบไม่รู้ตัว


          พิษของแมงมุมชนิดนี้จะออกฤทธิ์ทั้งทางผิวหนังและระบบเลือด (แต่ไม่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท) ทำให้ผิวหนังมีอาการปวดและคันบริเวณที่ถูกกัดหลัง 2-8 ชั่วโมง จากนั้นก็จะมีตุ่มน้ำพอง บวมแดง และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ขนถึงขั้นแผลเริ่มดำไหม้ ทำให้ผิวหนังตายได้ถึงร้อยละ 37 ส่วนพิษต่อระบบเลือดนั้น จะทำให้เกิดความผิดปกติหลายอวัยวะ โดยมีอาการแสดงทำให้เกิดเม็ดโลหิตแดงแตก เกร็ดเลือดต่ำ มีการแข็งตัวของเกร็ดเลือดกระจายทั่วร่างกาย เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในมากๆ 

         แมงมุมทั้ง 3 ชนิดนี้ นับได้ว่ามีพิษที่อาจจะร้ายแรงกว่าพิษงูด้วยซ้ำ แต่ด้วยขนาดที่เล็ก ปริมาณพิษจึงไม่มาก และพิษในแมงมุมแต่ละตัวก็ไม่เท่ากัน แต่ก็ต้องเตือนกันก่อนว่าต่อให้ปริมาณพิษไม่เยอะก็อย่าชะล่าใจนะ มีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่ามันก็รุนแรงใช่เล่นอยู่ เราอาจจะไม่ใช่คนที่โชคดีที่โดนกัดแล้วไม่เป็นอะไร ตรงกับคำที่นายแพทย์สุชัย สุเทพารักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาคลินิค บอกไว้ว่า "แมงมุม 1 ตัว ทำให้คนเสียชีวิตน้อยมาก แต่ทำให้อาการหนักได้"

ข้อมูลจาก
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
บทความจาก
http://www.dek-d.com/education/35126/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น