วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ร้านหนังสือที่นักอ่านควรไป

เริ่มกันเลยดีกว่า
City Lights Bookstore in San Francisco

ร้านหนังสือ City light ก่อตั้งขึ้นโดย เตอร์ ดี มาร์ติน (Peter D. Martin) และกวีลอเรนซ์ เฟอร์ลิงเกตติ (Lawrence Ferlinghetti) ในปี 1953  บรรยากาศในร้านจะสงบ และมีคนนั่งอ่านหนังสือกันอย่างเงียบๆ บางทีถ้าโชคดี ก็อาจจะเจอเจ้าของร้าน ลอเรนซ์ เฟอร์ลิงเกตติเดินมาทักทายลูกค้าด้วย หนังสือที่นี่เป็นหนังสือที่ไม่อาจพบเห็นได้ตามร้านหนังสือทั่วไป ผู้ที่เป็นกวี เคยเป็นกวี หรือแม้แต่ผู้ที่อยากเป็นกวี ไม่ควรพลาดที่นี่อย่างยิ่ง

Word on the Water in London
Word on the Water เป็นร้านหนังสือที่อยู่บนเรือดัชต์ เรือลำนี้จะลอยลำไปตามลำคลองในเมืองลอนดอนโดยสามกะลาสีหนุ่ม แพ็ตดี้ สคริช (Paddy Screech,จอห์น ไพรเว็ทท์ (John Privett) และ กัปตันบุรุษลึกลับชาวฝรั่งเศส

Boekhandel Dominicanen in Maastricht, Netherlands
ถูกดัดแปลงจากโบสถ์โดมินิกันในสมัยก่อนที่มีอายุร่วม 800 ปี ให้เป็นร้านหนังสือ ที่รวบรวมหนังสือไว้กว่า 40,000 เล่ม แถมยังมีมุมกาแฟให้กับหนอนหนังสือได้อ่านหนังสืออย่างสนทรีย์อีกด้วย ร้านนี้มีความสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เปิดให้บริการเมื่อปี ค.ศ. 2006 และได้กลายเป็นร้านหนังสือที่ได้รับความนิยมสูง ด้วยการผสมผสานระหว่างความร่วมสมัยและความโบราณ สร้างบรรยากาศของร้านหนังสือที่ดูมีความสวยงามราวกับสวรรค์ จนได้รับรางวัลทางด้านสถาปัตยกรรมหลายรางวัล

The Livraria Cultura in São Paulo, Brazil
ที่นี่ไม่ใช่แค่ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในบราซิล แต่ว่ายังเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นของเด็กๆอีกด้วย ที่นี่สร้างขึ้นในปี 1948 โดย อีวา เฮอส์ (Eva Herz)

Libreria Acqua Alta in Venice, Italy
เพียงแค่หนอนหนังสือก้าวมายังร้านหนังสือแห่งนี้ ก็จะพบกับเรือกอนโดล่าขนาดใหญ่อยู่กลางร้านที่ภายในเต็มไปด้วยหนังสือกองพะเนิน นอกจากนี้ก็ยังมีประตูน้ำ ที่หนอนหนังสือสามารถลงไปเหยืยบน้ำเพื่อให้รู้สึกสบายได้

Librería El Ateneo in Buenos Aires, Argentina
ร้านนี้ถูกดัดแปลงจากโรงละครในช่วงปี 1929 และได้เปลี่ยนเป็นร้านหนังสือในปี 2000 ที่นี่มีสภาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สวยงาม เช่น จิตกรรมฝาผนังและเพดานเป็นแบบอิตาเลี่ยน ผ้าม่านสีแดง และประติมากรรมที่หรูหรา บวกกับเสียงเปียโนที่จะช่วยให้หนอนหนังสืออ่านหนังสือได้อย่างสุนทรีย์

Cook & Book in Brussels, Belgium

ปกติแล้วร้านหนังสือทั่วไปจะไม่สามารถนำอาหารเข้าไปทานได้ แต่ปัญหานั้นจะหมดลงทันที เมื่อเหล่าหนอนหนังสือมาที่นี่ เพราะร้านนี้จะมีอาหารที่เลิศรสและหนังสือที่ประเทืองปัญญา เรียกได้ว่า อิ่มท้องท้อง อิ่มทั้งสมองเลยทีเดียว ที่นี่จะแบ่งห้องย่อยเป็น 9 ห้อง แต่ละห้องจะมีประเภทของหนังที่แตกต่างกันออกไป เช่น ห้องนี้มีหนังสือเกี่ยวกับเพลง อีกห้องเกี่ยวกับนิยาย และอีกอย่างที่แต่ละห้องมีไม่เหมือนกันก็คือ ลักษณะการตกแต่งต้อง

Brattle Book Shop in Boston
สร้างในปี 1825 ซึ่งก็เป็นหนึ่งในร้านหนังสือที่เก่าแก่และใหญ่มากที่สุดในประเทศเลย มีแผงขายหนังสือที่ไม่เหมือนที่ไหนมาก่อน

Livraria Lello in Porto, Portugal
เป็นร้านขายหนังสือที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในร้านขายของเก่าที่เก่าแก่ที่สุดของโปรตุเกส ด้วนการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นผสมผสานไปกับสไตล์โกธิค ทำให้ที่นี่เป็นศูนย์รวมตัวของเหล่าหนอนหนังสือได้ไม่อยาก ยังไม่พอ! ที่นี่ยังมีบันไดเวียนที่สวยที่สุด ซึ่งเป็นต้นแบบบันไดเวียนที่ใช้ในภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์เชียวล่ะ!

Librairie Ptyx in Brussels
จุดเด่นของที่นี่ก็คือ มีการเพ้นท์ตัวตึก และเพดานข้างใน เป็นชีวประวัติและผลงานของกวีหลายๆท่าน และยังมีคนสำคัญของโลกอีกด้วย

The Last Bookstore in Downtown Los Angeles
ร้านหนังสือในใจกลางเมือง LA เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2005 และเป็นร้านหนังสือเพียงไม่กี่แห่งที่ยังรับซื้อหนังสือมือสอง และนอกจากนี้ร้านนี้ยังขายหนังสือใหม่ๆอีกด้วย

Cafebrería El Péndulo in Mexico City
ร้านนี่แฝงทุกมุมไปด้วยความร่มรืนด้วยสีเขียงของใบไม้ใบหญ้า ทำให้เวลาอ่านหนังสือคงสบายตาสบายใจน่าดู ร้านนี้อาจจะเป็นร้านในฝันของหนอนหนังสือเลยก็ได้ เพราะว่าที่ร้านนี้มีร้านกาแฟด้วย


บทความจาก
http://www.dek-d.com/board/view/3354250/

แมงมุมที่อันตราย!

แมงมุมที่อันตราย

ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้ว แต่ข่าวเรื่องคุณอุทัย เวียงคำ หนุ่มเมืองแพร่ถูกแมงมุมกัดยังอยู่ในความสนใจของคนไทย เพราะแมงมุมตัวเล็กๆ ดูไม่น่าจะมีภัยร้ายแรงอะไร กลับทำให้ผู้เคราะห์ร้ายถูกพิษแมงมุมเล่นงานจนมีแผลเหวอะหวะ ลุกลามไปตามร่างกาย จนถึงขั้นเนื้อตาย ต้องตัดขาทิ้งเพื่อรักษาชีวิตไว้เลยทีเดียว

        สำหรับแมงมุมที่ถูกพูดถึงในเคสนี้ คือ แมงมุมพิษสีน้ำตาล ซึ่งเป็นคนละชนิดกับแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาล เพราะอาการของผู้ป่วยทีเกิดขึ้นอยู่คนละกลุ่มกับแมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาล อย่างไรก็ตามแมงมุมทั้ง 2 ชนิดนี้ถือว่าเป็นแมงมุมชนิดมีพิษร้ายแรงทั้งคู่ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็เกิดอันตรายได้ วันนี้พี่มิ้นท์ก็เลยนำเกร็ดความรู้เรื่องแมงมุมมีพิษจากสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยมาฝาก ให้น้องๆ ทำความรู้จักและระมัดระวังตัวมากขึ้น เป็นไปได้ว่ามันอาจจะแอบซ่อนอยู่ในบ้านก็ได้
          แมงมุมมีพิษ มีอยู่ 3 ชนิด คือ แมงมุมแม่ม่ายดำ, แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล และแมงมุมพิษสีน้ำตาล มีลักษณะและพิษ ดังนี้

     
    1. แมงมุมแม่ม่ายดำ ตัวผู้กับตัวเมียจะมีลักษณะแตกต่างกันคือ ตัวเมีย จะมีความยาว 1-2 เซนติเมตร มีสีดำ ตัวกลม ท้องจะมีลายเป็นรูปนาฬิกาทรายสีแดง ส่วนแมงมุมแม่ม่ายดำตัวผู้ ตัวจะเล็กกว่าตัวเมียประมาณ 20 เท่า มีสีน้ำตาล และไม่มีลายนาฬิกาทรายที่ท้อง ด้วยความที่ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมียเยอะ มันจึงไม่สามารถกัดคนได้ ดังนั้นแมงมุมแม่ม่ายสีดำที่กัดมนุษย์ จึงเป็นตัวเมียเท่านั้น

แมงมุมแม่ม่ายดำตัวเมีย - แมงมุมแม่ม่ายดำตัวผู้

         พิษของแมงมุมแม่ม่ายสีดำ จะเป็นพิษที่มีผลต่อระบบประสาท โดยพิษจะทำให้เกิดช่องว่างบริเวณปลายเซลล์ประสาท ผลที่ตามมาคือ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งจนเป็นอัมพาต ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตมามักมาจากกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อหัวใจหยุดทำงาน ส่วนอาการที่เกิดขึ้นนั้น ระยะแรกอาจมีแค่ผื่นแดงๆ และรู้สึกปวดบริเวณที่ถูกกัด ต่อมาภายใน 30 นาที ผิวหนังรอบแผลที่ถูกกัดแดงขึ้น และเหงื่อออก พร้อมทั้งรู้สึกชาและปวดแผล นอกจากนี้อาจมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ ความดันสูง มือสั่น ชัก ในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดไตวายเฉียบพลัน จนถึงขั้นเสียชีวิตได้

         2. แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล จะมีขนาดเล็กกว่าแมงมุมแม่ม่ายดำเล็กน้อย ตัวกลม มีลายเป็นรูปนาฬิกาทรายสีส้มหรือเหลืองบริเวณหน้าท้อง พิษของแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลจะรุนแรงกว่าแมงมุมแม่ม่ายดำ 2 เท่า ถ้าเทียบพิษในปริมาณที่เท่ากัน แต่แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลจะปล่อยพิษในการกัดแต่ละครั้งน้อยมาก โดยพิษที่เกิดขึ้นก็เป็นพิษทางระบบประสาทเช่นกัน ทำให้เกิดอาการเกร็ง กระตุกในบริเวณที่โดนกัด อย่างไรก็ตามพิษจะไม่ทำให้เกิดภาวะเนื้อตายตรงบริเวณที่ถูกกัด นี่จึงเป็นเหตุผลว่าชนิดแมงมุมที่เป็นข่าวไม่ใช่แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล

         ปกติแล้วแมงมุมแม่ม่ายน้ำตาลไม่ก้าวร้าว ถ้าถูกรบกวนมากๆ จะวิ่งหนีเข้าซอกด้วยซ้ำ ดังนั้นแมงมุมชนิดนี้มีโอกาสกัดคนน้อยมาก ถ้าถูกกัดแสดงว่าไปจับหรือไปทับมันจนได้รับบาดเจ็บ มันจึงกัดเข้าให้ 

         3. แมงมุมพิษสีน้ำตาล เป็นแมงมุมที่อยู่ในข่าวนี้นั่นเอง แมงมุมชนิดนี้มีขนาดเล็กประมาณ 6-20 มิลลิเมตร มีสีน้ำตาลหรือเหลืองเข้ม มีลักษณะเด่นคือ ด้านหลังตรงช่วงศีรษะถึงอกของแมงมุมจะมีลายสีดำๆ คล้ายรูปไวโอลิน มีขาเรียวยาวเมื่อเทียบกับลำตัว แมงมุมชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่ในที่มืด ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า ตู้รองเท้า เตียงนอนก็สามารถพบเจอได้เหมือนกัน ดังนั้นเราอาจจะถูกกัดได้เพราะไปโดนมันแบบไม่รู้ตัว


          พิษของแมงมุมชนิดนี้จะออกฤทธิ์ทั้งทางผิวหนังและระบบเลือด (แต่ไม่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท) ทำให้ผิวหนังมีอาการปวดและคันบริเวณที่ถูกกัดหลัง 2-8 ชั่วโมง จากนั้นก็จะมีตุ่มน้ำพอง บวมแดง และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ขนถึงขั้นแผลเริ่มดำไหม้ ทำให้ผิวหนังตายได้ถึงร้อยละ 37 ส่วนพิษต่อระบบเลือดนั้น จะทำให้เกิดความผิดปกติหลายอวัยวะ โดยมีอาการแสดงทำให้เกิดเม็ดโลหิตแดงแตก เกร็ดเลือดต่ำ มีการแข็งตัวของเกร็ดเลือดกระจายทั่วร่างกาย เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายในมากๆ 

         แมงมุมทั้ง 3 ชนิดนี้ นับได้ว่ามีพิษที่อาจจะร้ายแรงกว่าพิษงูด้วยซ้ำ แต่ด้วยขนาดที่เล็ก ปริมาณพิษจึงไม่มาก และพิษในแมงมุมแต่ละตัวก็ไม่เท่ากัน แต่ก็ต้องเตือนกันก่อนว่าต่อให้ปริมาณพิษไม่เยอะก็อย่าชะล่าใจนะ มีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่ามันก็รุนแรงใช่เล่นอยู่ เราอาจจะไม่ใช่คนที่โชคดีที่โดนกัดแล้วไม่เป็นอะไร ตรงกับคำที่นายแพทย์สุชัย สุเทพารักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยาคลินิค บอกไว้ว่า "แมงมุม 1 ตัว ทำให้คนเสียชีวิตน้อยมาก แต่ทำให้อาการหนักได้"

ข้อมูลจาก
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย
บทความจาก
http://www.dek-d.com/education/35126/

วิธีบรรเทาอาการเมื่อโดนยุงกัดแบบธรรมชาติ

วิธีบรรเทาอาการเมื่อโดนยุงกัดแบบธรรมชาติ

             
             มาดูวิธีบรรเทาอาการแบบธรรมชาติเมื่อโดนยุงกัดกันดีกว่าหากโดนุงกัดและมีอาการคัน เราจะได้รักษาได้ทันท่วงทีด้วย วิธีต่อไปนี้
ทาด้วยน้ำผึ้ง
             น้ำผึ้งมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพเราอยู่แล้ว และยังมีคุณสมบัติช่วยลดอาการอักเสบบวมแดงได้อีก ดังนั้นเราจึงสามารถนำมาแก้อาการคันและบวมแดงบริเวณผิวหนังที่โดนยุงกัดได้ด้วยเช่นกัน โดยใช้น้ำผึ้งสด ๆ ทาลงไปบนตุ่มคันบาง ๆ ก็พอ
ประคบด้วยน้ำแข็ง

              เมื่อผิวที่โดนยุงกัดได้รับความเย็นจากน้ำแข็งอย่างเฉียบพลัน ผิวหนังส่วนนั้นจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการหดตัวทันที ทำให้อาการคันหยุดชะงัก อีกทั้งวิธีนี้ยังช่วยลดอาการบวมแดงของผิวหนังได้อีกด้วย ซึ่งคุณสามารถใช้ได้ทั้งน้ำแข็งประคบโดยตรง หรือจะใช้เจลเย็นที่แช่เย็นจัด ๆ ก็ได้ แต่ไม่ควรประคบร้อน เพราะหลังจากประคบร้อนเสร็จแล้ว ผิวหนังจะเกิดอาการคันยิ่งขึ้น

ประคบด้วยถุงชา

          หลายคนคุ้นเคยกับการประคบถุงชาบริเวณถุงใต้ตา เพื่อลดอาการตาบวม เช่นกันกับอาการบวมแดงของตุ่มยุงกัด ถุงชาก็สามารถกระชับและไล่น้ำส่วนเกินบริเวณที่ยุงกัดได้เช่นกัน

ใบโหระพาลดคัน

          ในโหระพามีทั้งการบูรและไทมอล ซึ่งทั้ง สิ่งนี้สามารถลดอาการคันได้เป็นอย่างดี วิธีใช้ก็ง่าย ๆ เพียงแค่เด็ดใบโหระพาแล้วนำมาหั่นให้ละเอียดพอประมาณ แล้วนำมาทาบริเวณที่โดนยุงกัด เท่านี้อาการคันก็จะค่อย ๆ หายไป

แก้คันด้วยสาระแหน่
            
           สะระแน่เองก็มีคุณสมบัติช่วยลดอาการคัน  เพราะเป็นพืชที่มีความเย็น โดยเราสามารถใช้วิธีนำใบสะระแหน่มาบดแล้วนำมาทาบริเวณตุ่มคัน หรือจะทาด้วยยาสีฟันรสมินต์ก็ได้ เพราะเมื่อทายาสีฟันที่เย็น หรือสะระแหน่ลงบนผิว สมองเราจะรับความรู้สึกเย็นได้ทันที ทำให้ลืมอาการคันที่มีอยู่ได้นั่น


ทาด้วยน้ำมะนาว

                น้ำมะนาวมีสารต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อโรค และสารที่ช่วยลดอาการคัน ดังนั้นเพียงแค่คุณใช้น้ำมะนาวหรือเปลือกของมะนาวทาถูบริเวณตุ่มคัน ก็จะช่วยลดอาการคันลงได้


กล้วยก็ช่วยได้
        
               น้ำตาลในเปลือกกล้วยก็สามารถลดอาการบวมของตุ่มคันจากยุงกัดได้ด้วย โดยแค่ใช้เปลือกกล้วยด้านในถูลงไปตรงบริเวณผิวที่โดนยุงกัด แล้วคลึงเบา ๆ ทิ้งไว้สักพัก อาการบวมแดงก็จะหายไป

บรรเทาอาการด้วยนม

              ไม่ว่าจะเป็นอาการคัน อาการอักเสบ และอาการบวมแดง เราก็สามารถบรรเทาทุกอาการได้ด้วยการชุบผ้าเช็ดหน้าด้วยนม หรือน้ำให้ชุ่ม แล้วนำไปประคบบริเวณตุ่มคัน ทิ้งไว้สักพัก รอยบวมแดงก็จะค่อย ๆ ยุบตัวลงแล้ว



บทความจาก
http://www.dek-d.com/board/view/3354680/

ความรู้เกี่ยวกับหวี

เราเหมาะกับหวีประเภทไหน?
ก่อนที่เราจะไปดูว่าสภาพผมแบบเราเหมาะกับหวีแบบไหน ไปทำความรู้จักกับหวีแบบต่างๆ กันก่อน



หวีซี่ห่าง
หวีประเภทนี้มักใช้เมื่อต้องการสางผมที่พันกัน เพราะจะไม่ทำให้เจ็บหนังศีรษะ นอกจากจะนิยมใช้สำหรับสางผมแล้ว คนที่ดัดผมและไม่ต้องการให้ลอนผมแตก ก็เหมาะกับหวีซี่ห่างเช่นกันค่ะ โดยทั่วไปหวีซี่ห่างจะมีความห่างระหว่างซี่ประมาณ ½ นิ้ว







หวีปลายแหลม

หวีชนิดนี้เหมาะสุดๆ สำหรับคนที่ชอบทำผม โดยหวีปลายแหลมมักจะมีลักษณะด้ามจับเล็ก ยาว และแหลม เหมาะสำหรับใช้ในการแสกผมให้ได้ตามที่ต้องการ ลักษณะซี่ของหวีปลายแหลมจะถี่มาก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบยีผม






หวีแปรงกลม

ส่วนมากเรามักจะเห็นช่างทำผมตามร้านทำผมใช้หวีประเภทนี้กัน โดยทั่วไปมักใช้กับการไดร์ผมเพื่อให้ผมตรง และเหมาะสำหรับคนที่ดัดผมเป็นลอนๆ หวีแปรงกลมจะช่วยเซ็ทลอนผมให้ดูเป็นทรงมากขึ้นและช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้กับเส้นผม






หวีแปรงนุ่ม

เป็นหวีประเภทที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะใช้ง่าย ไม่ทำให้เจ็บหนังศีรษะ ส่วนมากที่ตัวซี่หวีมักจะมีปุ่มๆ ช่วยนวดหนังศีรษะเวลาหวีผมไปในตัวด้วย


เลือกหวีให้เหมาะกับสภาพเส้นผม
คนผมหนา เส้นใหญ่ :: ควรใช้หวีซี่ห่างหรือหวีแปรงนุ่มในการหวีผมค่ะ
คนผมสั้น :: ควรเลือกใช้แปรงทรงกลม จะช่วยจัดผมให้เข้าทรงได้ง่ายมากขึ้น
คนผมเส้นเล็ก :: ควรเลือกหวีซี่ห่าง เพราะผมอาจจะเปราะบาง และขาดง่าย
คนผมดัด :: จริงๆ แล้วคนที่ดัดผมไม่จำเป็นต้องหวีผมเลยค่ะ แต่ถ้าอยากหวีผมจริงๆ ควรใช้เป็นหวีแปรงกลม ม้วนไปตามลอนผม จะช่วยรักษาลอนผมให้อยู่ทน


Tips*
- หวีเป็นของใช้ส่วนตัว ไม่ควรใช้ร่วมกันคนอื่น เพราะอาจทำให้เกิดโรคติดต่อ อย่างเหา หรือ
  เชื้อราบนหนังศีรษะได้ 
- ควรล้างทำความสะอาดหวีทุกๆ 2 สัปดาห์ เพื่อสุขอนามัยที่ดี
- ไม่ควรใช้หวีที่ซี่หวีมีความแหลมคมเพราะอาจบาดหนังศีรษะ ทำให้เกิดเป็นแผลขึ้นได้
- ควรเลือกใช้หวีที่ทำจากขนสัตว์แทนพลาสติกเพราะจะช่วยลดการเกิดไฟฟ้าสถิตย์

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
hotcombs.net
ehow.com
boldsky.com
บทความจาก
http://www.dek-d.com/content/listwriter.php?writer=toey

วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แนะนำเจ้าของบล็อก

ชื่อนายดิษพล  นพวงศ์ ณ อยุธยา
ชั้นม.4.2 เลขที่ 2
โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จังหวัดเชียงราย
เกิดวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2541